นโปเลียน ฟร็องซัว ชาร์ล โฌแซ็ฟ โบนาปาร์ต (ฝรั่งเศส: Napol?on Fran?ois Charles Joseph Bonaparte; 20 มีนาคม พ.ศ. 2354 – 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2365) ดำรงพระอิสริยยศเจ้าชายแอ็งเปรียาล (Prince Imperial) พระมหากษัตริย์แห่งโรม และเจ้าชายแห่งปาร์มา ปลาเซนตีอา และกัสตัลลา นอกจากนี้ยังทรงเป็นที่รู้จักในราชสำนักออสเตรียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2357 ว่า เจ้าชายฟรันซ์ และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2361 ว่าดยุกแห่งไรช์ชตัดท์ เป็นพระราชโอรสในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งชาวฝรั่งเศส และอาร์คดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย
ตามมาตรา 9 ในหมวดที่ 3 ของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสในขณะนั้นแล้ว ทรงมีพระอิสริยยศเป็นเจ้าชายแอ็งเปรียาล และยังทรงเป็นที่รู้จักในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งโรมตั้งแต่ประสูติอีกด้วย เนื่องจากจักรพรรดินโปเลียนที่หนึ่งทรงประกาศให้เป็นพระอิสริยยศกิตติมศักดิ์ (courtesy title) สำหรับรัชทายาทผู้มีสิทธิโดยตรง ทรงมีพระนามเล่น ๆ ว่า เล-กล็อง (ฝรั่งเศส: L'Aiglon; อินทรีย์หนุ่ม) ซึ่งเป็นพระนามที่ได้รับหลังจากเสด็จสวรรคตแล้ว และต่อมาถูกนำไปเป็นชื่อบทละครอันโด่งดังของเอ็ดม็งด์ โรสต็อง ภายใต้ชื่อ เล-กล็อง เช่นเดียวกัน
เมื่อจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สละราชสมบัติในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2357 ทรงเสนอพระนามพระราชโอรสของพระองค์ขึ้นเป็นจักรพรรดิ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามนโปเลียนไม่ยอมรับการสืบราชบัลลังก์ดังกล่าว จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จึงถูกบังคับให้สละราชสมบัติโดยปราศจากเงื่อนไขในอีกหลายวันต่อมา ซึ่งแม้ว่าจักรพรรดินโปเลียนที่ 2 ไม่ได้ทรงปกครองฝรั่งเศสในทางปฏิบัติแต่อย่างใด แต่ก็ถือว่าทรงเป็นจักรพรรดิแห่งชาวฝรั่งเศสในนามในปี พ.ศ. 2358 หลังจากการล่มสลายในระบอบการปกครองของพระราชบิดา ต่อมาในปี พ.ศ. 2395 เมื่อพระญาติของพระองค์ หลุยส์-นโปเลียน โบนาปาร์ต ได้ราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิและสถาปนาจักรวรรดิฝรั่งเศสที่สอง ทรงเลือกใช้พระนามาภิไธยว่าจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เพื่อเป็นการยอมรับพระราชสถานะของจักรพรรดินโปเลียนที่ 2 และการครองราชย์ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ของพระองค์
ในช่วงเวลา 20 ถึง 21 นาฬิกาของคืนวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2354 จักรพรรดินีมารี หลุยส์ ทรงรู้สึกเจ็บพระครรภ์แรก นางสนองพระโอษฐ์จึงได้แจ้งให้บรรดาบุคคลสำคัญต่าง ๆ ทราบ อาทิเช่น บรรดาเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งพระราชวงศ์ เจ้านายชั้นสูง รัฐมนตรี เสนาบดีใหญ่แห่งสำนักพระราชวัง เสนาบดีใหญ่แห่งจักรวรรดิ ตลอดจนบรรดาข้าราชบริพารทั้งชายและหญิงในราชสำนัก ต่างพากันมารวมตัวกัน ณ พระราชวังตุยเลอรี ต่อมาในเช้าวันที่ 20 มีนาคม เวลา 9.20 นาฬิกา ได้มีพระประสูติกาลเป็นทารกเพศชายน้ำหนัก 9 ปอนด์ (4.1 กก.) และส่วนสูง 20 นิ้ว (51 ซม.) ทรงได้รับการเจิม (พิธีบัพติศมาแบบย่อตามขนบธรรมเนียมฝรั่งเศส) โดยโฌแซ็ฟ เฟ็สช์ และมีพระนามเต็มว่า นโปเลียน ฟร็องซัว ชาร์ล โฌแซ็ฟ
ต่อมาทรงเข้าพิธีบัพติศมา ซึ่งมีต้นแบบมาจากพิธีบัพติศมาของเจ้าชายหลุยส์ โดแฟ็งใหญ่แห่งฝรั่งเศส ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2354 ณ มหาวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส โดยคาร์ล ฟีลิปป์ เจ้าชายแห่งชวาร์เซินแบร์ก เอกอัครราชทูตออสเตรียประจำฝรั่งเศสในขณะนั้น ได้ทรงบันทึกกล่าวไว้ว่า :
ต่อมาทรงอยู่ในความดูแลของหลุยส์ ชาร์ลอต ฟร็องซัว เลอ เตลีเย เดอ มงเตสกียู ทายาทของฟร็องซัว-มิเชล เลอ เตลีเย มาร์กี เดอ โลวัวส์ ผู้เคยดำรงตำแหน่งข้าหลวงแห่งราชโอรสราชธิดาฝรั่งเศส (Governess of the Children of France) และด้วยความเป็นที่รักใคร่และชาญฉลาด ข้าหลวงผู้ดูแลพระองค์จึงได้รวบรวมชุดหนังสือจำนวนมากไว้สำหรับพระราชโอรส เพื่อใช้ในการปูพื้นฐานทางด้านศาสนา ปรัชญา และการกลาโหม
เนื่องจากเป็นพระราชโอรสองค์โตที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 รัฐธรรมนูญจึงรับรองพระราชสถานะของพระองค์เป็นเจ้าชายแอ็งเปรียาลและรัชทายาทผู้มีสิทธิโดยตรง นอกจากนี้จักรพรรดิยังพระราชทานพระอิสริยยศแก่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งโรมอีกด้วย ถึงกระนั้นก็ตาม จักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่งที่พระองค์เป็นรัชทายาทก็ล่มสลายลงในอีกสามปีถัดมา
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงพบปะกับพระชายา (จักรพรรดินีมารี หลุยส์) และพระราชโอรสของพระองค์เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2357 และต่อมาในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2357 ก็ทรงสละราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสวัย 3 ชันษา ภายหลังการทัพหกวัน และยุทธการที่ปารีส เจ้าชายพระองค์น้อยจึงได้ขึ้นเสวยราชย์ด้วยพระนาม นโปเลียนที่ 2 อย่างไรก็ตามในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2357 จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สละราชสมบัติโดยครบถ้วนสมบูรณ์ รวมทั้งสละพระราชสิทธิ์ของพระองค์และรัชทายาทเหนือราชบัลลงก์ฝรั่งเศสด้วย ทั้งนี้สนธิสัญญาฟงแตนโบลปี พ.ศ. 2357 ยังมอบสิทธิ์ในการใช้พระอิสริยยศ เจ้าชายแห่งปาร์มา ปลาเซนตีอา และกัสตัลลา แก่นโปเลียนที่ 2 และพระอิสริยยศ ดัชเชสแห่งปาร์มา ปลาเซนตีอา และกัสตัลลา แก่พระราชมารดาของพระองค์
ในวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2357 พระนางมารี หลุยส์ เสด็จ ฯ ออกจากพระราชวังตุยเลอรีพร้อมกับพระราชโอรส โดยที่หมายแรกก็คือพระราชวังร็องบูเยต์ แต่ด้วยความที่ทรงกลัวกองทหารของฝ่ายศัตรูที่กำลังคืบคลานเข้ามา จึงเสด็จ ฯ ต่อไปยังพระราชวังบลัว ต่อมาในวันที่ 13 เมษายน พระนางและพระราชโอรสจึงเสด็จ ฯ กลับไปยังพระราชวังร็องบูเยต์ และทรงพบกับพระราชบิดา จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย พร้อมด้วยจักรพรรดิอะเลคซันดร์ที่ 1 แห่งรัสเซีย จากนั้นในวันที่ 23 เมษายน พระนางและพระราชโอรสจึงเสด็จ ฯ ออกจากร็องบูเยต์และฝรั่งเศสไปพำนักลี้ภัยอยู่ที่ออสเตรียเป็นการถาวร ภายใต้การอารักขาของกองทหารออสเตรีย โดยมิมีโอกาสได้เสด็จ ฯ กลับมาอีกเลยตลอดช่วงพระชนม์ชีพที่เหลือ
ในปี พ.ศ. 2358 หลังจากที่ทรงพ่ายแพ้ในยุทธการที่วอเตอร์ลู จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สละราชสมบัติแก่พระราชโอรสวัย 4 ชันษาเป็นครั้งที่สอง ผู้ซึ่งพระองค์มิได้ทรงพบปะตั้งแต่การเสด็จลี้ภัยไปเกาะเอลบา และหนึ่งวันหลังจากที่สละราชสมบัติ คณะรัฐบาลซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกห้าคนจึงได้เข้ายึดการปกครองของฝรั่งเศสเอาไว้ และเฝ้ารอการเสด็จนิวัติคืนสู่ปารีสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ซึ่งในขณะนั้นประทับอยู่ ณ เลอ กาโต-ก็องเบรซิ โดยในระหว่างที่ได้ปกครองฝรั่งเศสอยู่เป็นเวลาสองสัปดาห์นั้น คณะรัฐบาลไม่เคยกราบบังคมทูลเชิญจักรพรรดินโปเลียนที่ 2 อย่างเป็นทางการหรือแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนเลย จนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม เมื่อกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรเคลื่อนพลเข้าสู่กรุงปารีส ความหวังของฝ่ายผู้สนับสนุนจักรพรรดินโปเลียนที่ 2 ในการเชิญพระองค์ขึ้นครองราชสมบัติจึงจบสิ้นลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งในขณะนั้นพระองค์ประทับอยู่ในออสเตรียกับพระราชมารดาและมีความเป็นไปได้ว่าทรงไม่รับรู้ว่าทรงได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิหลังการสละราชสมบัติของพระราชบิดา
เชื้อพระวงศ์โบนาปาร์ตพระองค์ต่อมาที่ได้ขึ้นเสวยราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองฝรั่งเศสก็คือเจ้าชายหลุยส์-นโปเลียน พระราชโอรสในพระเจ้าหลุยส์ที่ 1 แห่งฮอลล์แลนด์ พระอนุชาในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ซึ่งเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2395 โดยใช้พระนามว่า จักรพรรดินโปเลียนที่ 3
ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี พ.ศ. 2357 เป็นต้นมา เจ้าชายนโปเลียนทรงใช้พระชนม์ชีพอยู่ในออสเตรียและทรงเป็นที่รู้จักในพระนาม ฟรันซ์ ซึ่งเป็นชื่อที่ทรงได้รับมาเป็นชื่อที่สอง ในปี พ.ศ. 2361 ทรงได้รับสถาปนาพระอิสริยยศเป็นดยุกแห่งไรช์ชตัดท์ ซึงเป็นอิสริยยศที่ได้รับสืบทอดมาจากพระราชอัยกา (ตา) ฝ่ายพระราชมารดา จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 เจ้าชายฟรันซ์ทรงได้รับการศึกษาจากครูผู้สอนจากกองทัพ จึงทำให้พระองค์มีความสนพระทัยด้านการทหารในเวลาต่อมา ทรงแต่งกายด้วยชุดทหารจำลองและเล่นแปรแถวกองทหารในบริเวณพระราชวัง จนกระทั่งเจริญพระชันษาได้ 8 ชันษา จึงเป็นที่ปรากฏแน่ชัดแก่คณาอาจารย์ของพระองค์ว่าจะทรงเลือกอาชีพทางด้านการทหาร
ต่อมาในปี พ.ศ. 2363 เจ้าชายฟรันซ์ทรงสำเร็จการศึกษาในชั้นประถมศึกษาและเริ่มเข้ารับการฝึกทางทหาร ทรงเรียนรู้ภาษาเยอรมัน ภาษาอิตาลี และคณิตศาสตร์ เช่นเกียวกับการฝึกทางกายภาพขั้นสูง และในปี พ.ศ. 2366 ทรงเข้ารับราชการทหารอย่างเป็นทางการด้วยวัย 12 ชันษา หลังจากที่ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนักเรียนายร้อยทหารแห่งกองทัพออสเตรีย ซึ่งจากคำบอกเล่าของคณาจารย์ผู้ฝึกสอน พระองค์ทรงมีบุคคลิกที่เฉลียวฉลาด จริงจัง และมุ่งมั่น นอกจากนี้ยังทรงมีรูปร่างที่สูงใหญ่ ด้วยวัย 17 พรรษา ทรงสูงเกือบ 6 ฟุต (180 ซม.)
ทั้งนี้พระกรณียกิจด้านการทหารของพระองค์สร้างความกังวลและความชื่นชมแก่บรรดาพระมหากษัตริย์ในทวีปยุโรปรวมถึงผู้นำของฝรั่งเศส และยังเปิดโอกาสความเป็นไปได้ว่าพระองค์จะนิวัติกลับสู่ฝรั่งเศสอีกครั้ง อย่างไรก็ตามทรงไม่ได้รับพระราชานุญาตให้ข้องเกี่ยวกับการเมือง แต่ทรงถูกเสนาบดีแห่งจักรวรรดิ (ตำแหน่งเทียบเท่านายกรัฐมนตรี) เคลเมินส์ ฟอน เมทเทอร์นิช ใช้พระองค์เป็นข้อต่อรองกับฝรั่งเศสเพื่อความได้เปรียบของออสเตรียแทน เมทเทอร์นิชเกรงกลัวว่าเชื้อพระวงศ์โบนาปาร์ตจะกลับมามีบทบาททางการเมืองอีกครั้ง ถึงขนาดที่ว่าไม่อนุญาตให้เจ้าชายฟรันซ์ได้มีโอกาสเปลี่ยนที่ประทับไปยังภูมิภาคที่มีสภาพอากาศอบอุ่นกว่าอย่างอิตาลีเลย นอกจากนี้พระอัยกาของพระองค์ยังทรงปฏิเสธคำกราบบังคมทูลขอพระราชานุญาตไปปฏิบัติกรณียกิจด้านการทหารเพื่อร่วมปราบปรามกลุ่มกบฏในอิตาลีอีกด้วย
จากการสิ้นพระชนม์ของพระบิดาบุญธรรม นายพลอาดัม อัลเบิร์ท ฟอน ไนพ์แพร์ก และการเปิดเผยข้อเท็จจริงที่ว่าพระมารดาของพระองค์มีพระบุตรก่อนการเสกสมรสซึ่งไม่ถูกต้องตามกฎหมายกับเจ้าชายอาดัม 2 พระองค์ เจ้าชายฟรันซ์จึงทรงห่างเหินกับพระมารดามากขึ้นเรื่อย ๆ และทรงรู้สึกว่าพระราชวงศ์ออสเตรียของพระองค์กำลังยื้อยุดพระองค์เอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งนี้พระองค์ได้ตรัสกับพระสหาย นายพลอันทอน ฟอน พรอเคช-โอสเทิน ว่า "ถ้าหากพระนางโฌเซฟีนเป็นพระราชมารดาของเรา พระราชบิดาก็คงจะไม่ต้องถูกฝัง ณ เกาะเซนต์เฮเลนา และเราก็คงไม่ต้องประทับอยู่ที่เวียนนา พระราชมารดาของเรา (พระนางมารี หลุยส์) มีพระจริยวัตรที่เมตตาแต่อ่อนแอ พระนางทรงมิใช่พระชายาอันคู่ควรของพระราชบิดา"
ในปี พ.ศ. 2374 เจ้าชายฟรันซ์ทรงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองพันทหารออสเตรีย แต่ก็ไม่เคยได้รับโอกาสให้ทรงบัญชาการอย่างจริงจังสักครั้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2375 พระองค์ประชวรด้วยอาการพระปัปผาสะ (ปอด) บวม ทำให้ต้องประทับอยู่บนแท่นพระบรรทมนานหลายเดือน จนในที่สุดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2375 ด้วยพระพลานามัยที่ไม่สมบูรณ์แข็งแรง เจ้าชายฟรันซ์จึงสิ้นพระชนด้วยวัณโรค ณ พระราชวังเชินบรุนน์ในกรุงเวียนนา ทั้งนี้เนื่องจากพระองค์สิ้นพระชนม์โดยปราศจากรัชทายาท ส่งผลให้การอ้างสิทธิ์เหนือราชบัลลังก์ฝรั่งเศสสายโบนาปาร์ตตกเป็นของพระญาติคือ เจ้าชายหลุยส์-นโปเลียน โบนาปาร์ต ซึ่งภายหลังทรงสามารถฟื้นฟูจักรวรรดิฝรั่งเศสขึ้นมาได้สำเร็จ และครองราชสมบัติในฐานะ จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส
ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2483 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์สั่งให้เคลื่อนย้ายพระศพของนโปเลียนที่ 2 จากกรุงเวียนนามาฝั่งไว้ที่เลแซ็งวาลีด กรุงปารีส ส่วนพระศพของนโปเลียนที่ 1 ถูกนำกลับมายังฝรั่งเศสตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2383 ในช่วงของราชาธิปไตยเดือนกรกฎาคม โดยที่พระศพของเจ้าชายถูกฝังไว้เคียงข้างกับพระราชบิดาเป็นช่วงเวลาสักระยะหนึ่ง แต่ต่อมาพระศพถูกย้ายลงไปยังโบสถ์ส่วนล่างแทน
ในขณะที่พระศพส่วนมากของเจ้าชายฟรันซ์ถูกเคลื่อนย้ายไปฝัง ณ ปารีส แต่ยังคงอวัยวะบางส่วนคือพระหทัย (หัวใจ) และพระอันตคุณ (ลำไส้เล็ก) ฝังไว้ที่เวียนนาตามธรรมเนียมของสมาชิกราชวงศ์ฮับส์บูร์ก โดยพระหทัยฝังไว้ในโกศที่ 42 ณ แฮร์ซกรุฟท์ (เยอรมัน: Herzgruft; ห้องชั้นใต้ถุนของโบสถ์ซึ่งใช้ฝังหัวใจ) ส่วนพระอันตคุณฝังไว้ในโกศที่ 76 ณ แฮร์โซกส์กรุฟท์ (เยอรมัน: Herzogsgruft; ห้องชั้นใต้ถุนของโบสถ์ซึ่งใช้ฝังพระศพของดยุก)
นอกจากนี้ยังทรงเป็นที่จดจำจากมิตรภาพของพระองค์กับเจ้าหญิงโซฟีแห่งบาวาเรีย เชื้อพระวงศ์วิตเตลส์บาค ผู้ปราดเปรื่อง ทะเยอทะยาน และหัวแข็ง ซึ่งเจ้าหญิงโซฟีทรงมีพระจริยวัตรที่ไม่ค่อยเหมือนกับพระสวามี อาร์ชดยุกฟรันซ์ คาร์ล นอกจากนี้ยังมีข่าวลือด้วยว่าทั้งเจ้าชายฟรันซ์และเจ้าหญิงโซฟีทรงมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างกัน และพระโอรสองค์ที่สองของพระนาง จักรพรรดิแม็กซีมีเลียนที่ 1 แห่งเม็กซิโก (ประสูติ พ.ศ. 2375) คือผลจากความสัมพันธ์ดังกล่าว